แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ น้ำตาล แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ น้ำตาล แสดงบทความทั้งหมด

2 สิ่งชั่วร้ายที่สุดในทางโภชนาการ

12.7.58
โดยรายการหมอสันต์ ทันโลก เมื่อ Jul 3, 2013

2 สิ่งชั่วร้ายที่สุดในทางโภชนาการ ที่ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

กล่าวในรายการ หมอสันต์ ทันโรค ช่วงที่ 1 "สารอาหารที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจ" คือ

1. ไขมันทรานส์ ได้แก่ ครีมเทียม, เนยเทียม, มาการีน, เนยขาว รวมถึง น้ำมันพืชทอดอาหารอุณหภูมิสูง เช่น ไก่ทอด เฟรนช์ฟรายด์

2. น้ำตาลเพิ่มในเครื่องดื่ม ได้แก่ น้ำตาลไฮฟรุกโตสคอร์นไซรัป ที่ใส่ในน้ำอัดลม, เครื่องดื่มที่มีรสหวาน 
Read more ...

เหตุใดคนไทยจึงอ้วนขึ้น Why are Thais getting fatter?

2.7.58
By Ben Manhire  http://goo.gl/cdlkuA เมื่อ2013-02-12

หนังสือพิมพ์ บางกอกโพสต์ ฉบับวันที่ 28 มกราคม 2013 ได้ลงบทความที่ระบุว่า ในปี 2015 เด็กไทย 20% จะเป็นโรคอ้วน  รองอธิบดีกรมอนามัย นายแพทย์ธีรพล โตพันธนนท์ ได้กล่าวเตือนว่า โรคอ้วนที่เพิ่มขึ้นจะทำให้โรคเรื้อรังต่างๆ เพิ่มขึ้นด้วย อาทิเช่น

โรคเบาหวาน
โรคความดันโลหิตสูง
โรคหัวใจ

และเป็นที่น่าแปลกใจที่มีคนเป็นโรคอ้วนมากขึ้น แม้แต่เด็กทารกอายุเพียง 6 เดือน ก็สามารถเป็นโรคนี้ได้

ดร.Robert Lustig อาจารย์ด้านกุมารเวชแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย 

ได้ทำการศึกษาค้นคว้าเรื่องนี้นานนับปีเพื่อหาวิธีต่อสู้กับโรคนี้   โรคอ้วนมีมาตั้งแต่อดีต โดยถือว่าเป็นสภาวะหนึ่งของคนเราเพียงแต่ว่าปริมาณไม่เท่ากับในปัจจุบัน  ในสหรัฐเมื่อปี 1962  คนที่เป็นโรคอ้วนมี 13%   แต่อีกไม่นานจะมีถึง 40%  โรคอ้วนได้ระบาดลุกลามไปทั่วโลกแล้วเพราะอาหารแบบตะวันตกได้แพร่กระจายไปทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยด้วย  มันเป็นอุตสาหกรรมอาหารระดับโลกที่ทำให้อาหารราคาถูก ซื้อหาง่าย รสชาติดี เก็บไว้ได้นาน  ลองสังเกตตามโรงเรียน ตามเมืองใหญ่ ก็จะเห็นความแตกต่างในอาหารที่เรากิน

ในฐานะครูคนหนึ่งที่เห็นลูกศิษย์ อ้วนเอา อ้วนเอา ก็เลยอยากจะนำสิ่งที่ ดร.Robert Lustig ค้นพบมาสาธยายต่อเพื่อเราและลูกหลานจะได้อยู่ดี มีสุข

เราคิดผิด
30 ปีที่ผ่านมานี้ จะเห็นได้ชัดว่าทฤษฎีด้านอาหารนั้นผิดพลาด  ในสหรัฐผู้คนมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10 กิโลเมื่อเทียบกับน้ำหนักเดิมเมื่อ 25 ปีก่อนหน้านั้น   ในทางพันธุกรรม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งแวดล้อมเปลี่ยน  มีแนวคิดใหม่ที่ว่า  คนอ้วนไม่ใช่ผู้กระทำแต่เป็นผู้ถูกกระทำ  ในเด็กวัย 6 เดือน เด็กไม่ได้อยากอ้วน และไม่ได้มีความคิดเรื่องการออกกำลังกายหรือการลดความอ้วน  นี่เป็นสิ่งที่ไกลเกินเรื่องของบุคคล  เพราะมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในเรื่องอาหารที่เราทานกันอยู่

ในสหรัฐ วัยรุ่นชายได้รับปริมาณแคลอรีจากอาหาร 275 แคลอรีต่อวัน  ซึ่งมากกว่าปริมาณที่ได้รับเมื่อ 25 ปีที่แล้ว  ส่วนในผู้ใหญ่ที่เป็นเพศหญิงได้รับมากขึ้น 335 แคลอรี   ในอเมริกา ผู้คนรับรู้ว่าไขมันเป็นสิ่งไม่ดี ดังนั้นการบริโภคไขมันจึงลดลงเมื่อเทียบกับ 20 ปีที่แล้ว จาก 40% ลดเหลือ 30%  แต่คนอเมริกันก็ยังอ้วนขึ้น  เป็นที่น่าสงสัยว่า ถ้าไม่ใช่เกิดจากไขมัน แล้วปริมาณแคลอรีเหล่านี้มาจากไหนกัน

สาเหตุ
ในปี 1982 สมาคมโรคหัวใจของอเมริกาและกระทรวงเกษตรได้ออกมาเตือนว่า อาหารที่มีไขมันสูงเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ  บริษัทผลิตอาหารจึงได้เริ่มนำอาหารไขมันต่ำออกมาจำหน่ายทันที  และยังต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยหวังว่าโรคหัวใจจะหมดไป  แต่ปรากฎว่าอาหารไขมันต่ำมีรสชาติไม่ค่อยอร่อย เนื่องจากมนุษย์เราชอบรสชาติของไขมัน  บริษัทผลิตอาหารจึงได้หาสิ่งอื่นมาทดแทนไขมัน  จนในที่สุดจึงใช้นำตาลมาทดแทนไขมัน โดยเฉพาะน้ำตาลที่มนุษย์คิดค้นขึ้นเมื่อปี 1975 ในประเทศญี่ปุ่น น้ำตาลนี้มีชื่อว่า High Fructose Corn Syrup  น้ำตาลตัวนี้เป็นอันตราย แต่มีอยู่ในเครื่องดื่มและอาหารแปรรูปแทบทุกชนิดในปัจจุบัน  นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้คนเรากินมากขึ้นและอ้วนขึ้น

กลูโคส
เมื่อเราทานข้าว ตับและร่างกายจะย่อยกลูโคสให้กลายเป็นไกลโคเจนเพื่อใช้เป็นพลังงานในชีวิตประจำวัน   สิ่งมีชีวิตทุกชนิดในโลกสามารถเผาผลาญกลูโคสได้ โดยการเผาผลาญจะเกิดขึ้นทั่วร่างกายมีเพียง 20%เท่านั้นที่จะเกิดขึ้นที่ตับ  เมื่อเราทานอาหารที่ได้จากธรรมชาติ ฮอร์โมนที่มีชื่อว่า เลปติน จะทำหน้าที่คอยสั่งสมองให้รู้ว่าเมื่อใดที่ควรจะอิ่ม เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เรามีน้ำหนักตัวมากเกินควร และเป็นการรักษาสมดุลของร่างกาย  การที่เรามีน้ำหนักมากเกินควร อาจเป็นไปได้ว่ามีบางอย่างรบกวนการทำงานของฮอร์โมนเลปติน

ฟรุคโตส
อวัยวะที่สามารถเผาผลาญฟรุคโตสได้คือ ตับ เท่านั้น  เราจึงรู้ว่า ฟรุคโตส เป็นตัวรบกวนการทำงานของฮอร์โมน เปปติน  หากเราทานอาหารที่มี High Fructose Corn Syrup เช่น ในเครื่องดื่ม ร่างกายของเราก็จะไม่รับรู้ว่าควรจะพอเมื่อไร  ดังนั้นเราจึงทานได้เรื่อย ๆ ซึ่งเป็นการรับเอาแคลอรีมากขึ้น

ฟรุคโตสนั้นแตกต่างจากกลูโคส เพราะฟรุคโตสสามารถเผาผลาญได้ที่ตับเท่านั้น  หากเราทานฟรุคโตส 73 กรัมต่อวัน เหมือนวัยรุ่นอเมริกัน  ตับของเราก็จะทำงานมากขึ้น  ไมโตคอนเดรียจะแปลงฟรุคโตสให้กลายเป็นไขมัน ไม่ได้กลายเป็นไกลโครเจนเหมือนในกรณีของกลูโคส  ดังนั้นเมื่อเราทานน้ำตาลก็เหมือนกับทานไขมันนั่นเอง  การทานฟรุคโตสมากเกินไปยังมีส่วนทำให้ไมโตคอนเดรียแตกตัว ซึ่งทำให้เราเจ็บป่วยได้    ฟรุคโตสมีลักษณะคล้ายกับแอลกอฮอล์เป็นอย่างมาก เพราะสามารถเปลี่ยนเป็นไขมันได้  ไขมันจากตับที่เกิดจากฟรุคโตสจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ เช่น การต่อต้านจากสารอินซูลินจะมากขึ้น  ความดันโลหิตสูง  โรคหัวใจ  เซลแบ่งตัวและอาจเกิดมะเร็ง หรือ เบาหวาน   ดังนั้น การทานน้ำตาลมากเกินไปและการทานแอลกอฮอล์ จึงเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคต่างๆ ในลักษณะที่เหมือนกัน

อินซูลิน
ถ้าเรามีปริมาณอินซูลินมากขึ้น  ร่างกายเราก็สร้างไขมันมากขึ้นด้วย ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เราอ้วน  หากเราให้ผู้หญิงปกติคนหนึ่งทาน 2,000 แคลอรีต่อวัน และใช้พลังงาน 2,000 แคลอรีต่อวัน  ผู้หญิงคนนั้นจะรู้สึกดีและน้ำหนักตัวไม่เพิ่ม  แต่ถ้ามีการเพิ่มอินซูลินเข้าไปในร่างกาย  ปริมาณ 500 แคลอรี จะถูกเก็บในรูปของไขมันซึ่งไม่สามารถนำมาใช้เป็นพลังงานได้  ผู้หญิงคนนี้จึงได้ปริมาณแคลอรี เพียง 1,500 แคลอรี ซึ่งเป็นผลทำให้อ่อนเพลีย ง่วงนอน และรู้สึกหิว  และเมื่อทดแทนให้ได้ 2,000 แคลอรี เท่าเดิม  จึงต้องทานอาหารเพิ่มขึ้นเป็น 2,500 แคลอรี  การที่จะใช้ใจข่มความต้องการทางร่างกายนั้นเป็นสิ่งที่ยากมาก เพราะร่างกายถูกกระตุ้นอยู่ตลอดเวลา   อินซูลินในร่างกายของเราที่เพิ่มขึ้นนั้น ก็เกิดจากกระบวนการผลิตของบริษัทผลิตอาหารแปรรูป ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เกิดทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก

เลปติน
เลปตินเป็นฮอร์โมนซึ่งคอยส่งสัญญาณบอกสมอง เมื่อร่างกายได้รับอาหารเพียงพอแล้ว  หากเลปตินไม่ทำงาน สมองก็จะคิดว่าร่างกายยังต้องการอาหารอยู่  ปริมาณอินซูลินที่สูงจะมีพอต่อการทำงานของเลปติน

โดพามิน
ในสมองส่วนที่เป็นแอคคอมเบน  โดพามินจะส่งสัญญาณทำให้เรามีความสุข  แต่การมีความสุขมากเกินไปก็ไม่ดี เพราะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการเสพติด  การกระตุ้นระบบเป็นประจำจะทำให้ตัวรับโดพามินเสื่อม  เป็นผลทำให้มีความสุขได้ยาก  หากปริมาณสิ่งที่ได้รับเท่าเดิม ซึ่งน้ำตาลก็มีผลต่อสมองในลักษณะเช่นเดียวกัน  รวมทั้งสารถนิโคตินในบุหรี่ ซึ่งสารเหล่านี้ล้วนเป็นสารเสพติด และเลิกได้ยาก

โรคอ้วนในเด็กอายุ 6 เดือน
ลักษณะการเพิ่มของไขมันเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนคลอด โดยการควบคุมของปริมาณอินซูลิน  ยิ่งมีปริมาณอินซูลินมาก ปริมาณไขมันก็จะยิ่งมีมากขึ้นด้วย  ส่วนปริมาณของอินซูลินนั้นจะถูกกำหนดจากลักษณะอาหารที่มารดาเป็นผู้บริโภค นั่นหมายความว่า ผู้เป็นแม่เป็นผู้กำหนดสุขภาพความสมบูรณ์ของลูกตัวเอง

อาหารที่มี High Fructose Corn Syrup

อาหารประเภทอบ

ซอสมะเขือเทศ

เครื่องดื่มทั่วไป

ซีเรียล

น้ำผลไม้

อาหารแปรรูป

น้ำสลัด

โยเกิร์ต

นมสำหรับเด็กทารกบางชนิด

หลายร้อยปีก่อน ประมาณการบริโภคฟรุคโตสตามปกติคือ 15 กรัมต่อวัน ซึ่งส่วนใหญ่ได้จากผัก ผลไม้  ก่อนปี 1950 ตัวเลขอยู่ที่ 16 – 24 กรัม  ปัจจุบันนี้วัยรุ่นบริโภคฟรุคโตส 72.8 กรัมต่อวัน

นอกจากจะรบกวนฮอร์โมนแล้ว ฟรุคโตสยังไปเพิ่มคลอเรสตอรอลแบบ B LDL   คลอเรสตอรอลประเภทนี้จะทำให้เส้นเลือดหัวใจอุดตัน ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดภาวะหัวใจวาย

ในทางชีวะเคมี ตับของเราย่อยฟรุคโตสจะมีลักษณะเหมือนกับที่ย่อยแอลกอฮอล์ และมีพิษเกิดขึ้นในร่างกายเช่นเดียวกัน  ต่างกันตรงที่ เราไม่ให้เด็ก 6 ขวบกินเบียร์  แต่กลับไม่รู้สึกอะไรถ้าให้เด็กกินน้ำหวาน

โทษใครดี
ในปี 1915 เครื่องดื่มจะบรรจุอยู่ในขวดขนาด 6.5 ออนซ์  ปัจจุบันจะมาเป็นแก้วขนาด 32 ออนซ์  ฟรุคโตสมีอยู่ในผลิตภัณฑ์มากมาย โดยบริษัทผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มจะทุ่มเงินนับพันล้านเพื่อโฆษณาในกลุ่มเด็กๆ แต่ไม่รู้ว่ามีคนเคยเห็นโฆษณาขายแอปเปิ้ลหรือขายกล้วยกันบ้างไหม

กระบวนการผลิตอาหารก้าวหน้าไปอย่างมาก จนทำให้อาหารที่ผลิตออกมามีราคาถูก คิดง่ายๆ ก็คือ ซื้อกินถูกและเร็วกว่าการเสียเวลาเป็นชั่วโมงเพื่อทำอาหารสุขภาพ

อาหารแปรรูปนั้นมีการสกัดเอาเส้นใยออกเพื่อเพิ่มระยะเวลาการหมดอายุ และฟรุคโตสตามธรรมชาติก็จะอยู่กับเส้นใย เช่น อ้อย ที่มีลักษณะเป็นลำ  เราจึงทานฟรุคโตสในลักษณะนี้  น้ำผึ้งยังมีผึ้งมาคอยกันไม่ให้เอาไปง่ายๆ แต่ฟรุคโตสไม่เห็นมีอะไรมาช่วยกันให้เลย

จะหุ่นดี มีสุข ต้องทำยังไง

เลิกทานน้ำตาลและอาหารแปรรูป  อาจจะยากสักหน่อย เพราะจะเกิดอาการวิงเวียน หิวจนตาลายเอาการเหมือนคนเลิกบุหรี่  แต่ไม่ช้าไม่นานสักเดือนนึง ร่างกายก็น่าจะปรับสมดุลได้

หันมากินผักและผลไม้สดแทน สักพักการรับรู้รสชาติก็จะเปลี่ยนไป แอปเปิ้ลและส้มจะมีรสชาติดีขึ้น ขณะที่ลูกอมจะรู้สึกว่าหวานเกิน

เลิกดื่มเครื่องดื่มเดิมๆ  หันมาดื่ม น้ำเปล่า หรือ ฟรุตเชค ไม่ใส่น้ำตาล

หัดดูฉลากสินค้าที่บอกปริมาณน้ำตาล

หันมาออกกำลังกาย และเปลี่ยนนิสัยการกิน ทำแล้วลดได้ 10 กิโล คนเขียนทำแล้วลดได้จริง

ลงทุนเรื่องสุขภาพให้มากขึ้นในวันนี้ จะได้ไม่เสียค่าหมอมากในวันหน้า

ท้ายสุด ส่งต่อบทความนี้ไปให้ญาติสนิทมิตรสหาย
Read more ...

อันตรายจากน้ำตาล ไฮฟรุคโตสคอร์นไซรัป

18.6.58
โดย http://www.aecnews.co.th/blog/อันตรายจากน้ำตาล/

เมื่อ 27 มี.ค.2557

เป็นที่ทราบกันดีว่าการที่เราบริโภคน้ำตาลในปริมาณที่เกินพอดีจะส่งผลให้ร่างกายเกิดความผิดปกติได้ ทั้งโรคอ้วน โรคเบาหวาน โดยปกติแล้วชนิดน้ำตาลที่เรานิยมบริโภคกันจะให้รสหวานอยู่ 2 แบบ

คือ ความหวานจากน้ำตาลกลูโคส และ ความหวานจากน้ำตาลฟรุกโตส ซึ่งหากเลือกรับประทานน้ำตาลทั้ง 2 แบบนี้เข้าไปในปริมาณที่มาก จะส่งผลให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยาไกลเคชั่น เมื่อร่างกายได้รับน้ำตาลมากเกินความจำเป็นก็จะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันที่คอยสะสมอยู่ภายในร่างกาย ทำให้มีปัจจัยเสี่ยงที่ก่อโรคหัวใจขาดเลือด โรคเบาหวาน โรคอ้วน

ซึ่งทางกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้เคยเปิดเผยถึงการบริโภคน้ำตาลของประชากรว่า คนไทยติดน้ำตาล มีการบริโภคน้ำตาลเกินกว่ามาตรฐานกำหนดถึง 3 เท่า คือ เป็นปริมาณสูงถึงคนละ 29.6 กิโลกรัมต่อปี หรือ เฉลี่ยวันละ 20 ช้อนชา ขณะที่ค่ามาตรฐานกำหนดให้บริโภคได้ไม่เกินคนละ 10 กิโลกรัมต่อปี หรือเฉลี่ยวันละ 6-8 ช้อนชา

โดยในปัจจุบันนี้หลายคนเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการบริโภคน้ำตาลและหันไปเลือกความหวานจากรูปแบบอื่นแทน ซึ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนเลยก็ คือ น้ำตาล ไฮฟรุคโตสคอร์นไซรัป หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า ไซรัป ซึ่งไซรัปนั้นมีการแปลงสภาพมาจากน้ำตาลฟรุคโตส ในปริมาณที่สูง ดัดแปลงมาจากแป้งข้าวโพด

น้ำตาลไซรัปจะมีความหวานสูงกว่าน้ำตาลทรายถึง 6 เท่าด้วยกัน หากเลือกรับประทานไปในปริมาณที่มากจะถือว่าเป็นการทำร้ายร่างกายเป็นอย่างมาก โดยผลวิจัยได้เคยมีการระบุว่า การบริโภคน้ำตาลไฮฟรุคโตสคอร์นไซรัป จะส่งผลให้สมองมีปัญหาด้านความจำได้

นายแพทย์เฟอร์นันโด โกเมซ-พินิลลา (Fernando Gomez-Pinilla) ศาสตราจารย์ด้านศัลยกรรมประสาท วิทยาลัยแพทย์เดวิดเกฟเฟน มหาวิทยาลัย UCLA กับคณะทำการทดลองในหนู โดยใช้หนูประมาณ 20 ตัวฝึกให้เดินในเขาวงกตที่ค่อนข้างจะซับซ้อนชนิดเข้าไปแล้วหนทางเดินยุ่งเหยิงมากกระทั่งยากที่จะหาทางออก หนูเข้าไปฝึกอยู่วันเว้นวันเป็นเวลาห้าวันกระทั่วเรียนรู้หนทางที่จะออกจากเขาวงกตทางอีกปลายด้านหนึ่งได้ ไม่หลงทางอีกแล้ว

จากนั้นนักวิจัยแยกหนูเป็นสองกลุ่ม   กลุ่มแรกให้กินน้ำตาลฟรุคโตสแทนน้ำนาน 6 สัปดาห์  อีกกลุ่มหนึ่งให้กินน้ำตาลฟรุคโตสเหมือนกันแต่เติมแฟล็กสีดและกรดไขมันดีเอชเอ ซึ่งเป็นแหล่งของกรดไขมันโอเมก้าสาม  กินอยู่นานหกสัปดาห์เช่นเดียวกัน  ภายหลังนำหนูทั้งสองกลุ่มกลับเข้าไปในเขาวงกตอีกครั้ง ปรากฎว่าหนูกลุ่มที่ได้รับไฮฟรุคโตสคอร์นไซรัปอย่างเดียว หลงทางในเขาวงกตอยู่เป็นนาน ในขณะที่หนูกลุ่มที่กินไฮฟรุคโตสคอร์นไซรัป แต่ได้รับกรดไขมันโอเมก้าสามพร้อมกันไปด้วยนั้น ความทรงจำยังคงอยู่ทำให้ไม่หลงทาง

โดยส่วนใหญ่แล้วน้ำตาลไฮฟรุคโตสคอร์นไซรัป จะมีส่วนผสมอยู่ในอาหารจำพวก น้ำอัดลม อาหารฟาสต์ฟู้ด เน็ตเก็ตทอด ป๊อปคอร์น หรือ อาหารจำพวกที่ต้องการความหวานมาก ๆ แต่ไม่ต้องการกลิ่นและสี อย่างเช่นเบเกอรรี่บางชนิด ทั้งนี้หากหลีกเลี่ยงหรืองดรับประทานได้ก็จะสามารถส่งผลที่ดีต่อสุขภาพ เพราะไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลประเภทไหนหากรับประทานจนเกินพอดีก็สามารถส่งผลเสียให้กับร่างกายได้ด้วยกันทั้งนั้น !
Read more ...

"นิวยอร์ก"ไฟเขียว ผ่านกม.แบน"เครื่องดื่มผสมน้ำตาลแก้วใหญ่"

14.9.55
 
โดยมติชน เมื่อ 14 ก.ย.2555

นครนิวยอร์กอนุมัติกฎหมายสั่งแบนการจำหน่ายเครื่องดื่มผสมน้ำตาล (sugary drinks)ขนาดแก้วใหญ่กว่าปกติแล้ว ทั้งในร้านอาหารและสถานที่สาธารณะอื่นๆ ซึ่งถือเป็นที่แรกในสหรัฐฯ

มาตรการดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสาธารณสุข 8 คน ที่ได้รับการแต่งตั้งนายกเทศมนตรี โดยมีเพียงรายเดียวที่งดออกเสียง นายไมเคิล บลูมเบิร์ก นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก ได้เรียกร้องให้มีการแบนดังกล่าว เพื่อหวังลดอัตราผู้ป่วยด้วยโรคอ้วน ซึ่งนำไปสู่โรคภัยประเภทอื่น

ทั้งนี้ ตามข้อเสนอของบลูมเบิร์กให้ความหมายเครื่องดื่มผสมน้ำตาล ว่าเป็นเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาลหรือสารให้ความหวานที่ให้พลังงาน เช่นฟรุกโตสมากกว่า 25 แคลอรี่ต่อ 8 ออนซ์ และมีส่วนผสมของนมหรือนมเทียมน้อยกว่า 51%

ด้านกลุ่มเรียกร้อง New Yorkers for Beverage Choices ได้ออกมาตำหนินโยบายดังกล่าว โดยระบุว่า ชาวนิวยอร์กฉลาดพอที่จะเลือกได้เองว่าควรหรือไม่ควรบริโภคสิ่งใด ขณะที่โพลล์ของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ ระบุว่า 60% ของชาวนิวยอร์ก ต่อต้านมาตรการดังกล่าว

ทั้งนี้ คำสั่งห้ามจำหน่ายน้ำอัดลมแก้วใหญ่ ซึ่งผ่านการอนุมัติวานนี้ (13 ก.ย.) จะมีผลกับน้ำอัดลมหรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลที่มีขนาด 16 ออนซ์ หรือ 473 มิลลิลิตรขึ้นไป ในเกือบทุกสถานที่ที่มีการจำหน่าย ยกเว้นร้านขายของชำและร้านสะดวกซื้อ แต่ไม่นับรวมถึง เครื่องดื่มประเภทไดเอ็ต เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำผลไม้มากกว่า 70% และร้านค้าใดที่ฝ่าฝืน จะต้องโดนปรับ 200 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 6,200 บาท)

นครนิวยอร์กถือเป็นเมืองแรกในสหรัฐฯที่ออกมาตรการเช่นนี้มาบังคับใช้ เพื่อหวังลดอัตราผู้ป่วยโรคอ้วน นอกจากนั้นยังถือเป็นเมืองแรกที่ออกกฎหมายให้ร้านอาหารต้องระบุจำนวนแคลอรีโดยประมาณลงในเมนูอาหาร

ตามข้อมูลขององค์กรเพื่อความร่วมเมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ระบุว่า ราว 1 ใน 3 ของชาวอเมริกัน ป่วยเป็นโรคอ้วน ขณะที่ร่างกฎหมายการสาธารณสุขของสหรัฐฯ ได้ระบุโรคที่เกี่ยวข้องกับอาการเจ็บป่วยไว้ถึง 10% อาทิ เบาหวานประเภท 2 โรคหัวใจ และความดันสูง และคาดการณ์ว่า มากกว่า 2 ใน 3 ของประชากรในประเทศพัฒนาแล้วบางประเทศ จะมีน้ำหนักตัวเกินหรือป่วยเป็นโรคอ้วนภายในปี 2020
Read more ...